สิว เป็นโรคที่เกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกันโดยปัจจัยที่พบได้บ่อยมีดังนี้
• พันธุกรรม พบว่าถ้าบิดาหรือมารดาเป็นสิวรุนแรง โอกาสที่บุตรจะเป็นสิวขั้นรุนแรงมีถึงหนึ่งในสี่
• ฮอร์โมน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮอร์โมนเพศชายและฮอร์โมน Dehydroepian drosterone-Sulfate (DHEA-S) จากต่อมหมวกไต ซึ่งนอกจากระดับของฮอร์โมนเหล่านี้ที่สูงขึ้นใน ช่วงวัยรุ่นแล้ว พบว่าบางครั้งยังเกิดจากความไวต่อการตอบสนองของตัวรับสัญญาณฮอร์โมนที่ผิวหนังอีกด้วย
• การขับของซีบัม (Sebum) หรือไขมันที่มากเกินไปร่วมกับการอุดตันของเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุด และการอักเสบที่สัมพันธ์กับเชื้อแบคทีเรียชนิด Pro pionibacterium acnes (P.Acnes)
ประเภทของสิว ลักษณะร่องรอยสิวที่พบได้บ่อยแบ่งเป็นสี่ประเภทคือ
• สิวอุดตัน (Comedones)
• สิวอักเสบ (Papules)
• สิวหัวช้าง (Nodules) มักพบบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่นคือ ใบหน้า อก และส่วนหลังช่วงบน บางครั้งอาจพบที่หนังศีรษะได้
ความรุนแรงของสิว อาจแบ่งได้เป็น 4 ระดับหรือ 4 เกรด (Grade) จากรุนแรงน้อยไปหามาก คือ
• เกรดหนึ่ง มีแต่สิวอุดตัน
• เกรดสอง มีสิวอุดตันและสิวอักเสบบ้างประปราย
• เกรดสาม มีสิวอุดตัน สิวอักเสบ และสิวหัวหนองในจำนวนที่มากขึ้น
• เกรดสี่ มีสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวหัวหนอง และสิวหัวช้าง มักเห็นร่องรอยแผลเป็นร่วมด้วย
การรักษาสิว
วิธีรักษาสิวในปัจจุบันอาจแบ่งออก เป็นหมวดหมู่คือ 1กลุ่มยาอนุพันธุ์ของวิตามินเอ 2กลุ่มยาปฏิชีวนะ 3กลุ่มยาฮอร์โมน 4การใช้เลเซอร์/แสง 5การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี(TCA=TRICHLOROACETIC ACID)และ6การกดสิว
การเลือกวิธีรักษาต้องคำนึงถึงประเภท ของสิว ความรุนแรง และความเหมาะสมต่อผิวของแต่ละคน รวมถึงปัจจัยอื่นๆของผู้เป็นสิวร่วมด้วย
• กลุ่มยาอนุพันธุ์ของวิตามินเอ แบ่งได้เป็น
◦ ยาทากลุ่มอนุพันธุ์วิตามินเอ อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid) เป็นยาหลักที่สำคัญที่สุดสำหรับการรักษาสิวในปัจจุบัน โดยช่วยลดการขับซีบัมส่วนเกิน ลดการอุดตัน และยังมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบของสิวด้วย ข้อเสียของยาในกลุ่มนี้คือ ทำให้เกิดการระ คายเคือง ผิวแดง หรือลอกเป็นขุยได้บ่อย
◦ ยารับประทาน Isotretinoin เป็นยารับประทานในกลุ่มอนุพันธุ์ของวิตามินเอ ออก ฤทธิ์ในลักษณะเดียวกับยาทา แต่ยับยั้งการขับของซีบัมและยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย P.Acnes ได้ดีกว่า แต่เนื่องจากมีผลข้างเคียงหลายประการ จึงเหมาะกับผู้ที่มีสิวขั้นรุนแรงเท่านั้น ผลข้างเคียงรุนแรงที่ควรทราบคือ ทำให้เด็กในครรภ์พิการแต่กำเนิดได้หากรับประทานใน ขณะตั้งครรภ์ เอนไซม์ตับสูงขึ้น ซึมเศร้า ไขมันในเลือดสูงขึ้น และผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยเช่น ปากแห้ง ตาแห้ง เลือดกำเดาไหล เป็นต้น
• กลุ่มยาปฏิชีวนะ แบ่งเป็น
◦ ยาปฏิชีวนะแบบทา ช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย P.Acnes ที่ผิวหนัง ส่งผลให้เกิดสิวอักเสบลดลง โดยยาที่ใช้กันมากคือยา Erythromycin, Clindamycin และ Isotretinoin ในปัจจุบันมีการใช้ยาผสมระหว่าง Benzoyl peroxideและ Erythromycin หรือ Clindamycin พบว่าช่วยลดอัตราเชื้อดื้อยาและได้ผลการรักษาที่ดีขึ้น ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยในยากลุ่มนี้คือ การระคายเคืองที่ผิวหนัง
◦ ยาปฏิชีวนะแบบรับประทาน ได้ผลเช่นเดียวกับแบบทา แต่มักเห็นผลได้เร็วกว่า แต่มีข้อเสียคือ ทำให้เกิดการดื้อยาหรือเชื้อดื้อยาได้มากกว่า และมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้มากกว่าซึ่งขึ้นกับแต่ละชนิดของยาปฏิชีวนะนั้นๆ ยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาสิวอักเสบกันมากคือ Doxycycline, Erythromycin, Minocycline และ Tetracycline
• กลุ่มยาฮอร์โมน ได้แก่
◦ ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย (Anti-androgen) ถูกนำมาใช้ในการรักษาสิวที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนได้ผลดีในบางราย แต่อาจมีผล ข้างเคียงจากฤทธิ์ของฮอร์โมนเช่น น้ำหนักขึ้น ปวดศีรษะ บวมน้ำ และห้ามรับประทานในผู้ที่มีประวัติโรคเลือดแข็งตัวง่าย โรคหลอดเลือดหัว ใจ โรคมะเร็งเต้านม และโรคตับ
• การใช้เลเซอร์/แสงการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์หรือแสงต่างๆเพื่อรักษาสิว เริ่มขึ้นเมื่อมีการค้นพบว่า เชื้อแบคทีเรีย P.Acnes มีการสังเคราะห์เม็ดสีที่เรียกว่า พอร์ไฟรินส์ (Porphyrins) ซึ่งแสงในบางช่วงคลื่นจะถูกดูดซึมโดยพอร์ไฟรินส์ได้มากส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียตาย เมื่อปริมาณเชื้อแบคทีเรียลดลงจำนวนสิวอักเสบก็ลดลงตามไปด้วย และยังพบด้วยว่าเลเซอร์/แสงในบางช่วงความยาวคลื่นช่วยลดการขับของซีบัมส่วนเกินลงจึงทำให้เกิดสิวอุดตันลดลงอีกด้วยที่คลีนิคจะใช้การฉายแสงสีแดงและแสงสีน้ำเงินคู่กัน
ส่วนเลเซอร์จะใช้ LONG PULSE Nd YAG ได้ผลค่อนข้างดีมาก
• การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (CHEMICAL PEELING)โดยใช้กรดTRICHLOROACETIC ACID เรียกสั้นๆว่า TCAมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวหนังกำพร้าชั้นบน ช่วยลดความหนืดเกาะตัวกันของหนังกำพร้า จึงส่งผลลดการอุดตันของซีบัมได้ดี ในบางการศึกษาพบว่าช่วยลดสิวอักเสบได้ดีเช่นกัน การรักษาด้วยวิธีนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ หากนำมาใช้เองโดยเทคนิคที่ไม่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตา ผิว หรือแผลเป็นถาวร ได้
• การกดสิว มีทั้งการใช้เครื่องมือกดสิวกดโดยตรงบนหัวสิวที่เปิดแล้ว การเปิดหัวสิวด้วยเข็มแล้วกด รวมถึงการประยุกต์ใช้เลเซอร์CO2เพื่อเปิดสิวที่หัวใหญ่แล้วจึงกดด้วยเครื่องมือกดสิวซึ่งการกดสิวมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำหรือแผลเป็นได้ หากเทคนิคหรือเครื่องมือที่ใช้ไม่เหมาะสม
การดูแลตนเอง
1. ห้ามแกะหรือกดสิวด้วยตนเอง เพราะการกดที่ไม่ถูกวิธีและการแกะสิวมักก่อให้เกิดแผล เป็นโดยเฉพาะหลุมสิว
2. หลายการศึกษาพบว่า การเลี่ยงอาหารที่มีค่าไกลซีมิกอินเดกซ์สูง (Glycemic index คือ ตัวบ่งชี้ว่า อาหารชนิดใดเมื่อกินแล้วส่งผลให้มีน้ำตาลกลูโคลสในเลือดสูงทันที) เช่น เค้ก คุกกี้ ขนมหวาน รวมถึงนมวัว อาหารทะเล และอาหารไขมันทรานส์สูง (Trans fat หรือ Trans fatty acid คือไขมันที่มีส่วนผสมของไฮโดรเจน) เช่น เนยเทียม ครีมเทียมบางชนิด ฟาสต์ฟูต อาหารทอด และอาหารสำเร็จรูปบางชนิด ให้ผลไม่ดีกับผู้ที่มีปัญหาสิว
3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลให้ระบบฮอร์โมนทำงานไม่สมดุลและมีปริมาณสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบเพิ่มขึ้น
4. ฝึกผ่อนคลายความเครียดเช่น ด้วยการนั่งสมาธิหรือการฝึกการหายใจ (Breathing exer cise)
5. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าที่ระบุว่าไม่เป็นตัวก่อสิว “Non-comedogenic” คือไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน และเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมัน (Oil-based) เป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อความแน่นอนมาปรึกษาที่คลินิกซึงเราจะมีผลิตภัณฑ์สำหรับผู้เป็นสิว
6. ล้างหน้าวันละ 2-4 ครั้ง แต่สำหรับในคนที่หน้ามันมากอาจล้างเพิ่มระ หว่างวันด้วยสบู่รักษาสิวซึ่งจะไม่ทำให้เกิดการเสียสมดุลของค่ากรดด่างของผิวหน้า (พีเอช หรือ pH) และเซลล์ชั้นปกป้องผิวแต่อย่างใด
เมื่อใดจึงควรพบแพทย์
การพบแพทย์
โดยทั่วไปแล้วถ้าสิวมีการอักเสบจะมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นหลุมสิวถาวรได้ ดังนั้นหากมีสิวอักเสบขึ้นต่อเนื่องหรือสิวความ รุนแรงตั้งแต่เกรดสองเป็นต้นไป ควรที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำในการปฏิบัติตัว หาสาเหตุ และรักษาด้วยยาตามที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นถาวรต่อไป
การป้องกันการเกิดสิว
• ใช้เครื่องสำอางชนิดมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก (Water- based) และเป็นชนิดที่ไม่ก่อสิว (Non-comedogenic) หลีกเลี่ยงการใช้ชนิดมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก (Oil-based)
• ล้างหน้าวันละ 2-4 ครั้ง หากหน้ามันหรือเปื้อนเหงื่อควรลัางเพิ่ม
• ไม่ใช้เครื่องสำอางรองพื้นที่หนาเกินไป
• ล้างเครื่องสำอางใบหน้าออกให้สะอาดก่อนนอนเสมอเพราะเป็นสาเหตุก่อการอุดตันของซีบัม
• ไม่แกะสิวหรือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆเพราะเพิ่มโอกาสผิวติดเชื้อแบคทีเรีย
• ฝึกผ่อนคลายความเครียดดังกล่าว
• พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อช่วยให้ระบบฮอร์โมนของร่างกายทำงานได้อย่างมีสมดุล
• เมื่อเคยพบแพทย์เรื่องสิว ควรปฏิบัติต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
หน้าที่เข้าชม | 387,027 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 186,157 ครั้ง |
เปิดร้าน | 15 มี.ค. 2560 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |