หลักเกณฑ์ในการเลือกยากันแดด
ควรเลือกยากันแดดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันทั้งแสง UVA และ UVB (broad - spectrum coverage) โดยดูที่ค่า SPF และ PA หรือ เครื่องหมาย UVA ที่ระบุไว้ข้างหลอด
SPF หรือ Sunburn Protection Factor เป็นตัวเลขที่บอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกันผิวไหม้จากแสง UVB
SPF ที่เรามักเห็นที่ข้างหลอดยากันแดดนั้น เช่น SPF 60 นั้นความหมายว่า ถ้าผิวหนังปกติที่ไม่ได้ทายากันแดดเกิดผิวไหม้แดด (sunburn) ได้ภายในระยะเวลา 10 นาที ถ้าทายากันแดดที่มี SPF 60 ที่ผิวหนัง ยากันแดดนั้นจะสามารถป้องกันผิวหนังไม่ให้เกิดผิวไหม้แดด ได้ในระยะเวลา 600 นาที แต่ในชีวิตประจำวันจริง อากาศร้อน เหงื่อออก การซับหน้าบ่อย ๆ เพื่อลดความมัน ทำให้ประสิทธิภาพของยากันแดดต่ำกว่าที่ทดสอบในห้องทดลอง ดังนั้นจึงแนะนำให้ทายากันแดดซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยากันแดดนั้น ๆ
ในการเลือกว่าจะใช้ยากันแดด SPF เท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละบุคคล ถ้าทำงานในที่ร่ม ก็ควรเลือก SPF 15-30,แต่ถ้าทำงานกลางแจ้ง หรือใบหน้ามีกระฝ้า ยากันแดดที่ใช้ควรมี SPF มากกว่า 30 ในผู้ที่มีปัญหาผิวมันก็อาจจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุ dry touch ซึ่งจะลดปัญหาความมันจากการทายากันแดดได้
ค่า PA หรือ UVA protection factor (UVA-PF) เป็นตัวเลขที่บอกถึงประสิทธิภาพการปกป้องผิวคล้ำผิวไหม้จากแสง UVA ควรเลือกใช้ยากันแดดที่มีค่า PA ++ ถึง PA +++ ไม่ว่าจะอยู่ในที่กลางแจ้งหรือที่ร่มเพราะแสง UVA สามารถทะลุผ่านกระจกรถ กระจกตามอาคารบ้านเรือนได้
นอกจากนี้ควรเลือกยากันแดดที่มีความทนน้ำทนเหงื่อได้ (water resistant)
วิธีทายากันแดด
วิธีทายากันแดด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพตามที่ระบุไว้ข้างหลอด ควรทาปริมาณที่ถูกต้อง และระยะเวลาที่เหมาะสม
ปริมาณที่แนะนำ สำหรับทาทั่วร่างกาย คือ ปริมาณ1 ออนซ์ หรือ 30 ซีซี หรือ 30 กรัม หรือ 6 ช้อนชา หรือ 2 ช้อนโต๊ะ สำหรับทาทั่วใบหน้ารวมทั้งใบหูทั้ง 2 ข้าง คือ ประมาณ 1.3 ซีซี หรือ 1.3 กรัม หรือ ประมาณบีบยากันแดดมาปริมาณเต็มข้อนิ้วมือส่วนปลาย
ในความเป็นจริงคนทั่วไปมักจะทายากันแดดบาง ๆ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดลดลงเหลือแค่หนึ่งในสามที่ระบุไว้ข้างหลอด
ระยะเวลาที่เหมาะสม คือ ควรทาก่อนออกแดด 30 นาที อีกทั้งต้องทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงในขณะที่ยังคงอยู่กลางแจ้ง หรือทาซ้ำทันทีหลังจากที่เหงื่อออกหรือขึ้นจากสระว่ายน้ำ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดตามที่ระบุไว้ข้างหลอด
ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง ไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม เดินไปข้าง ๆ บ้านระยะใกล้ ๆ ควรทายากันแดดให้เป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าวันที่มีแดดแรงหรือวันที่รู้สึกว่าไม่มีแสงแดด ถึงแม้จะรู้สึกว่าไม่มีแดด แต่ก็ยังคงมีแสง UVA และแสง UVB จากพระอาทิตย์ส่องมาที่พื้นโลก
มีการศึกษายืนยันชัดเจนแล้วว่าแสง UVA และ UVB ทำให้เกิดรอยดำกระฝ้าได้ ปัจจุบันได้มีการค้นพบว่าแสงสีรุ้งหรือที่เราเรียกว่า visible light ก็สามารถทำให้เกิดรอยดำบนใบหน้าได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นการเลือกชนิดยากันแดด trend ปัจจุบัน นอกจากเราเลือกที่มีระบุข้างหลอดว่า BROAD SPECTRUM SPF 50+, PA +++ อีกทั้งต้องพลิกดูส่วนผสมข้างหลอดว่ามีสาร Titanium dioxide หรือ Zinc oxide ด้วยหรือไม่ เนื่องจากสารเหล่านี้ถ้ามีขนาดอนุภาคใหญ่ ขนาด macro – size จะสามารถป้องกันแสงสี่รุ้งได้ แต่มีข้อเสีย คือ เวลาทาจะทำให้ใบหน้าดูขาวลอยเกินความเป็นจริง ดูหลอกตา รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ
ตามที่ได้กล่าวตอนต้น ข้อดีของแสงแดด คือ สร้างวิตามินดีที่ผิวหนัง จึงอาจจะมีคำถามว่า ถ้าเราใช้ยากันแดดอย่างเคร่งครัดเป็นประจำ ร่างกายเราจะขาดไวตามินดีหรือไม่ ซึ่งไวตามินดีเป็นสิ่งจำเป็นต่อกระดูกและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เป็นที่ทราบกันว่าร่างกายอาศัยแสงแดดสร้างวิตามินดีที่ผิวหนังซึ่งจะสร้างได้ปริมาณหนึ่ง แต่ถ้ายังคงตากแดดมากและนานเกินไป แสงแดดนั้นจะทำให้วิตามินดีสลายตัวได้เช่นกัน การใช้ยากันแดดจึงไม่เกี่ยวข้องกับภาวะขาดไวตามินดี อย่างไรก็ตาม Institute of Medicine ประเทศสหรัฐอเมริกา (ปี 2011) แนะนำว่า ร่างกายควรได้รับวิตามินดีเสริม เช่น จาก อาหาร ปลาที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์นม ซีเรียล และวิตามินเม็ดเสริม โดย เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ควรได้รับวิตามินดีวันละ 400 IU เด็กและผู้ใหญ่ที่มีอายุต่ำกว่า 70 ปี วันละ 600 IU ส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 70 ปี ควรได้ 800 IU ต่อวัน
การประกอบกิจกรรมกลางแจ้ง ควรที่จะหลีกเลี่ยงแสงแดด ซึ่งนอกเหนือจากการทายากันแดดแล้ว สิ่งง่าย ๆ ที่ไม่ควรละเลย เช่น การสวมหมวกปีกกว้าง การใส่แว่นกันแดด การใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวที่มีสีเข้ม ๆ เป็นประจำ ก็เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยปกป้องผิวหนังของเราจากแสงแดดได้
หน้าที่เข้าชม | 387,027 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 186,157 ครั้ง |
เปิดร้าน | 15 มี.ค. 2560 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |