ฝ้า (melasma) คือ ปื้นสีน้ำตาล ที่เกิดบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก คาง ซึ่งเป็นบริเวณที่ถูกแสงแดด (แต่อาจเกิดที่แขนได้) มักเป็นเหมือนกันทั้ง 2 ข้างของใบหน้า
ฝ้าพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย อัตราส่วนของหญิงต่อชายเท่ากับ 12:1 พบมากในวัยกลางคนอายุประมาณ 30-40 ปีขึ้นไป
สาเหตุ
พยาธิกำเนิดยังไม่ทราบแน่ แต่เข้าใจว่าน่าจะเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน มีผลทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีในชั้นหนังกำพร้า ปัจจัยเหล่านี้อาจได้แก่
1. แสงแดด
เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในแสงแดดมีส่วนประกอบของ รังสีอัลตราไวโอเลตทั้ง เอ และ บี รวมทั้งแสงขาวที่มองเห็นได้ (visible light) ซึ่ง เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดฝ้า หรือทำให้ฝ้าเป็นมากขึ้น จึงพบฝ้ามากในประเทศเขตร้อน เพราะได้รับแสงแดดมากกว่าที่อื่น ซึ่งเราต้องทราบว่าความเข้มของแสงแดดในแต่ละช่วงเวลาของวันจะไม่เท่ากัน โดยจะมีความร้อนและปริมาณอัลตราไวโอเลตมากที่สุดในช่วงเที่ยงวัน
2. ฮอร์โมนเพศหญิง
มักพบผู้ป่วยที่เป็นฝ้าขณะตั้งครรภ์ ในคนที่รับประทานหรือฉีดยาคุมกำเนิด ได้บ่อยกว่าคนทั่วไป จึงเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศน่าจะเป็นตัวการทำให้เกิดฝ้า แต่ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า ฮอร์โมน เอสโตรเจน (estrogen), โปรเจสเตอโรน (progesterone) หรือ MSH ที่ทำให้เกิดฝ้า
3.ความร้อน ซึ่งเป็นคลื่นอินฟาเรดก็ทำให้เกิดฝ้าได้นะครับ ระวังความร้อนหน้าเตาไฟ เตารีด ไดร์เป่าผม หน่อยนะครับ
4. ยารับประทานบางชนิด
พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยากันชัก diphenylhydantoin มักเกิดผื่นดำคล้ายรอยฝ้าที่บริเวณใบหน้า จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า
5. เครื่องสำอาง
การแพ้ส่วนผสมในเครื่องสำอาง อาจทำให้เกิดรอยดำแบบฝ้าได้ ส่วนผสมที่ทำให้แพ้อาจเป็นจากสารที่ให้กลิ่นหอม หรือจากสีในเครื่องสำอางนั้นๆ รวมทั้งยาทาที่ทำให้หน้าบาง กัดหน้า
6. พันธุกรรม
เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีรายงานว่าเป็นในครอบครัวได้ถึง ร้อยละ 30-50 ฝ้าพบได้บ่อยในคนเอเชีย อย่างไรก็ตามการเกิดฝ้านั้นอาจเป็นอิทธิพลของพันธุ กรรม แสงแดด หรือเป็นผลจากสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ก็ยังไม่ทราบแน่
7. ภาวะผิดปกติทางการแพทย์
- ภาวะทุพโภชนาการ อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากพบผื่นแบบฝ้าในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับผิดปกติ หรือในผู้ป่วยที่ขาดวิตามินบี 12 เป็นต้น
- ภาวะเม็ดเลือดแดงมีความเข้มข้นสูง (Hemochromatosis)
- ภาวะผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางชนิด เช่น Addison
ซึ่งความผิดปกติทางการแพทย์เหล่านี้มักมีการสร้างเม็ดสีทั่วร่างกายมากกว่าเฉพาะที่ ทำให้ผู้ป่วยมีผิวดำทั่ว ๆ ไป
การรักษา
หลักการรักษาฝ้า มีดังนี้
1. พยายามหาสาเหตุ และแก้ไข หรือหลีกเลี่ยง
- หยุดรับประทานหรือฉีดยาคุมกำเนิด
- ใช้ครีมกันแดด
- หลบเลี่ยงแสงแดดเท่าที่จะทำได้ ไม่ควรอยู่กลางแดดในช่วงแดดจัด และควรใช้ร่ม ให้เป็นนิสัย
- แก้ไขภาวะผิดปกติทางการแพทย์ต่าง ๆ
- หยุดเครื่องสำอางที่ทำให้เกิดอาการแพ้
2. ยารักษาฝ้า
ในปัจจุบันมียาทาฝ้าชนิดต่าง ๆ วางขายมากมายในท้องตลาด ผู้ป่วยควรศึกษาส่วนประกอบและคุณภาพของครีมดังกล่าวให้ดีพอก่อนการตัดสินใจ เพราะทางการแพทย์พบว่ามียาฝ้าจำนวนมากที่วางขาย โดยไม่ได้ผ่านการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เมื่อผู้ป่วยใช้แล้วทำให้เกิดการระคาย บวมแดงในระยะแรกที่ใช้ และถึงแม้ว่าครีมบางชนิดไม่เกิดผลข้างเคียงในระยะแรก แต่อาจทำให้เกิดผิวบางแดง มองเห็นเส้นเลือดฝอย กลายเป็นฝ้าเส้นเลือด ซึ่งรักษาให้หายยากมากยิ่งขึ้น ผู้ป่วยบางรายกลับมีหน้าดำมากยิ่งกว่าเดิมจากการแพ้หรือจากการใช้ยาฝ้าเป็น เวลานาน ที่เรียกว่า ภาวะโอโครโนซิส (Ochronosis) ดังนั้นผู้ป่วยควรไปรับการตรวจรักษาจากแพทย์ผิวหนังโดยตรง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาดังกล่าว
ยาที่ใช้ทาในการรักษาฝ้า มีดังนี้
- ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นตัวยาหลักในการรักษาฝ้า ออกฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสี ในปัจจุบันหากผสมกับยาตัวอื่นในสูตรที่พอเหมาะจะมี ประสิทธิภาพดีที่สุด แต่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังได้สูงมาก และห้ามใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เนื่องจากจะทำให้เกิดการดำมากแบบถาวรได้ ที่เรียกว่าภาวะโอโครโนซิส (ochronosis)
- ในปัจจุบันประเทศไทยและหลาย ๆ ประเทศ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ห้ามผสมสารตัวนี้ในเครื่องสำอางเกิน 2 % แต่ ยังอนุญาตให้ใช้ในทางการแพทย์ได้ เนื่องจากแพทย์มีสูตรผสมที่ลดการระคายเคือง แพทย์เป็นผู้ที่ดูแลติดตามการรักษาเอง และแพทย์มีความรู้ที่จะทราบว่าจะให้ยาแก่ผู้ป่วยได้อย่างไร โดยไม่เกิดปัญหา
- ยาฝ้าสูตรใหม่ ๆ เช่น สาร licorice, arbutin, vitamin C cream, kojic acid, mulberry exteact, niacinamide เป็นต้น ยาสูตรเหล่านี้มีฤทธิ์อ่อนได้ผลไม่มากนัก แต่มีข้อดี คือ ไม่ค่อยมีผลข้างเคียง อาจใช้ได้ดีในผู้ป่วยที่มีฝ้าจาง ๆ
- Retinoic acid เช่น tretinoin และ Azelaic acid เป็นยาทีมีใช้ทางการแพทย์มานาน ออก ฤทธิ์เร่งการผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นบน ซึ่งมีเม็ดสีเมลานินสะสมอยู่มากออกไป แต่การใช้ยาทายาชนิดนี้ชนิดเดียวรักษาฝ้านั้นได้ผลช้ามาก มักใช้เวลานาน อาจถึง 6 เดือนขึ้นไป จึงจะเห็นผล ดังนั้นจึงนิยมใช้ร่วมกับยาทาตัวอื่น นอกจากนี้ยาอาจทำให้ระคายเคือง แสบคัน ลอกและหน้าแดง ได้บ่อยจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้กันมากนัก
- ยาทาคอร์ติโคสตีรอยด์ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงสามารถทำให้ฝ้าจางได้ แต้ถ้าใช้ยาที่มีฤทธิ์แรง และใช้เป็นเวลานานอาจพบภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ผิวบริเวณที่ทายาบางลง หลอดเลือดฝอยขยาย ขนขึ้น และเกิดสิว เป็นต้น
-ยาชนิดรับประทานกับการรักษาฝ้า
ปัจจุบัน มีการใช้ยารับประทาน เสริมกับยาทา ยาที่แพทย์บางท่านให้เสริมกับยาทา เช่น วิตามินซี, วิตามินอี ,ยารับประทาน tranexamic acid ซึ่ง มีการนำมาใช้ในปัจจุบัน ผู้ป่วยควรเริ่มต้นการรักษาด้วยการใช้ยาทาก่อน เนื่องจากปลอดภัยกว่ายารับประทาน และหากได้ผลดีด้วยยาทาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยารับประทานอีกต่อไป การรับประทานยาควรอยู่ในการดูแลของแพทย์นะครับ
-สำหรับการรักษาอื่น ๆ เช่น การลอกหน้าด้วยสารเคมี(CHEMICAL PEELING)ทำให้ฝ้าจางลงได้ แต่การทำต้องอาศัยความชำนาญและระวังอย่างมาก แนะนำว่าควรทำโดยแพทย์ผิวหนัง การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ วิธีไอออนโตฟอเรซิส การใช้เครื่องมือเปิดทางให้ยาเข้าผิวหนังได้มากขึ้น(NO NEEDLLE MESOTHERAPY)รวมทั้งการฉีดยาเข้าผิวหนังโดยตรง(MESOTHERAPY)ก็ได้ผลดีแต่ต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาเป็นรายๆไปนะครับ
-คำถามที่สำคัญมากก็คือ ฝ้าเมื่อรักษาแล้วจะหายขาดหรือไม่ คำตอบคือขึ้นกับสาเหตุและชนิดของฝ้า เช่น ฝ้าที่เกิดจากการรับประทานยาคุมกำเนิด หรือเกิดระหว่างตั้งครรภ์ ถ้าหยุดยาหรือหลังคลอด ฝ้าจะค่อย ๆ จางหายไป แต่ผู้ป่วยบางรายอาจหายไม่หมด เนื่องจากอาจยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดฝ้าอีก เช่นแสงแดด เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถ้าแก้ไขไม่ได้ ฝ้าก็จะเป็นอยู่นาน นอกจากนี้ฝ้าชนิดที่เป็นตื้น ๆ ก็จะหายเร็วและตอบสนองต่อการรักษาดีกว่าฝ้าชนิดลึก ๆ เมื่อรักษาฝ้าจนใบหน้าดูดี สิ่งที่ควรปฏิบัติต่ออย่างยิ่ง คือ การหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือแสงแดด และใช้ยากันแดดที่มีประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นอีก
มาปรึกษาและรับการรักษาฝ้าได้ที่คลินิกหมอสุทัศน์☎️0818524464☎️036421231
หน้าที่เข้าชม | 387,027 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 186,157 ครั้ง |
เปิดร้าน | 15 มี.ค. 2560 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |